วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ฟ้อนเต้ยหัวโนนตาล
เป็นการแสดงฟ้อนรำประกอบทำนองลำเต้ยหัวโนนตาล
มีลักษณะเป็นการฟ้อนเกี้ยวพาราสีกัน
ระหว่างชายหญิงทางภาคอีสาน โดยได้แรงบันดาลใจจากวงหมอลำพื้นบ้านจาก
อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งตัวหมอลำหนุ่มสาวหรือตัวพระเอก-นางเอก
จะมีการการลำและฟ้อนเกี้ยวพาราสี มีการพูดผญา ลำภูไท
หรือก็ร้องเพลงเป็นเต้ยเกี้ยวกัน เป็นต้น
ดนตรีที่ใช้ในชุดการแสดง ฟ้อนเต้ยหัวโนนตาล จะใช้ทำนองเต้ยหัวโนนตาลดั้งเดิม ส่วนท่าฟ้อนและเนื้อร้อง อ.พรสวรรค์ พรดอนก่อ อาจารย์สอนนาฏศิลป์พื้นเมือง จากวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์ เป็นผู้แต่งเนื้อร้องและประดิษฐ์ท่าฟ้อนขึ้นใหม่ โดยอาศัยเค้าโครงการฟ้อนของหมอลำหมู่หรือหมอลำเรื่องต่อกลอน ส่วนเพลงเร็วท่อนสุดท้าย ได้นำเอาท่าฟ้อนของหมอลำเข้ามาผสมด้วย โดยได้ปรึกษา อ.ช่วง ดาเหลา และ อ.ทองเจริญ ดาเหลา หมอลำกลอนคู่
ลักษณะท่าฟ้อนจึงมีทั้งความอ่อนช้อยและรวดเร็วสนุกสนานอยู่ในชุดเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงศิลปะการฟ้อนรำและการร้องลำที่สวยงาม ของกลุ่มชนชาวอีสานแถบนี้
การแต่งกาย
- ชาย สวมเสื้อแพรแขนสั้นสีเขียว นุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าสไบขิดมัดเอว สวมสร้อยคอและกำไลเงิน
- หญิง สวมเสื้อแขนกระบอกสีแดง ห่มสไบขิด นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ยาวคลุมเข่า ผมเกล้ามวยประดับดอกไม้ สวมเครื่องประดับเงิน
เพลงเต้ยหัวโนนตาล
ชาย โอเดพระนางเอย…พระนางเอ้ย น้องนี้เนาอยู่ทางแคว้นๆ แดนใด๋ละน้องพี่ ปูปลามีบ่ละน้อง
ทางบ้านหม่อมพระนาง
หญิง โอเดพี่ชายเอย… พี่ชายเอ้ย น้องนี้เนาอยู่ทางก้ำๆ กะสินคำดำนาห่าง โอเดพี่ชายเอย
ปู ปลา เต็มอยู่น้ำ ชวนอ้ายไปเที่ยวชม
ชาย โอเดพระนางเอย….พระนางเอ้ย อ้ายมีจุดประสงค์แน่น หาแฟนเมืองน้ำก่ำ เมืองดินดำนี้ละน้อง
ทางอ้ายอยากเกี่ยวดอง กะจั่งว่าแก้มอ่องต่อง ไสยองยองเอย
หญิง โอเดพี่ชายเอย….พี่ชายเอ้ย เขาส่าว่านกเขาตู้ บ้านอ้ายมันขันหอง เขาส่าว่านกเขาทองบ้านอ้าย
มันขันม่วน โอเดพี่ชายเอย บัดเทือมาฮอดแล้ว คู่ค้างซ่างบ่โตน คันบ่โตนเจ้าคอนใต้
โอซ่างบ่โตนเจ้าคอนต่ำ โอเดพี่ชายเอย
ชาย โอเดพระนางเอย….พระนางเอ้ย คันว่าสิบแหนงไม้ คันว่าซาวแหนงไม้ บ่คือแหนงดอกไม้ไผ่ โอเดพระนางเอย
อยากเป็นเขยบ้านน้องทางอ้ายจังต่าวมา
หญิง โอเดพี่ชายเอย…พี่ชายเอ้ย อ้ายอย่าตั๋วอีนางให้เซไซบ้าป่วง อย่ามาตั๋วให้น้อง นางน้อยล่ะ จ่อยโซ
ชาย โอเดพระนางเอย….พระนางเอ้ย อ้ายบ่ตั๋วพระนางน้อง คำนางดอกน้องพี่ ฮักอีหลีตั๋วละน้อง ทางอ้ายจั่งด่วนมา
หญิง โอเดพี่ชายเอย…พี่ชายเอ้ย คันบ่จริงอ้ายอย่าเว้า คันบ่เอาอ้ายอย่าว่า ทางปู่ย่าเพิ่นบ่พร้อม
ยอมเอาน้องขึ้นสู่เฮือน
ชาย โอเดพระนางเอย…พระนางเอ้ย คันว่าเฮือนซานอ้าย นอซานอ้ายดีหลายคันได้อุ่น
นับเป็นบุญพี่อ้ายคันน้องเข้าฮ่วมเฮือน
หญิง โอเดพี่ชายเอย…พี่ชายเอ้ย น้องนี้คิดฮอดอ้ายๆ คืนเดือนหงายสิแนมเบิ่งๆ โอเดพี่ชายเอย
ใจซิเถิงหม่อมอ้ายคืนนั้นให้พี่คอย
ชาย โอเดพระนางเอย…พระนางเอ้ย อ้ายสิขอรำเกี้ยวๆ คำนางให้มันม่วน อ้ายซิชวนหมู่เพื่อนลำเกี้ยวเข้าใส่กัน
ดนตรีที่ใช้ในชุดการแสดง ฟ้อนเต้ยหัวโนนตาล จะใช้ทำนองเต้ยหัวโนนตาลดั้งเดิม ส่วนท่าฟ้อนและเนื้อร้อง อ.พรสวรรค์ พรดอนก่อ อาจารย์สอนนาฏศิลป์พื้นเมือง จากวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์ เป็นผู้แต่งเนื้อร้องและประดิษฐ์ท่าฟ้อนขึ้นใหม่ โดยอาศัยเค้าโครงการฟ้อนของหมอลำหมู่หรือหมอลำเรื่องต่อกลอน ส่วนเพลงเร็วท่อนสุดท้าย ได้นำเอาท่าฟ้อนของหมอลำเข้ามาผสมด้วย โดยได้ปรึกษา อ.ช่วง ดาเหลา และ อ.ทองเจริญ ดาเหลา หมอลำกลอนคู่
ลักษณะท่าฟ้อนจึงมีทั้งความอ่อนช้อยและรวดเร็วสนุกสนานอยู่ในชุดเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงศิลปะการฟ้อนรำและการร้องลำที่สวยงาม ของกลุ่มชนชาวอีสานแถบนี้
การแต่งกาย
- ชาย สวมเสื้อแพรแขนสั้นสีเขียว นุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าสไบขิดมัดเอว สวมสร้อยคอและกำไลเงิน
- หญิง สวมเสื้อแขนกระบอกสีแดง ห่มสไบขิด นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ยาวคลุมเข่า ผมเกล้ามวยประดับดอกไม้ สวมเครื่องประดับเงิน
เพลงเต้ยหัวโนนตาล
ชาย โอเดพระนางเอย…พระนางเอ้ย น้องนี้เนาอยู่ทางแคว้นๆ แดนใด๋ละน้องพี่ ปูปลามีบ่ละน้อง
ทางบ้านหม่อมพระนาง
หญิง โอเดพี่ชายเอย… พี่ชายเอ้ย น้องนี้เนาอยู่ทางก้ำๆ กะสินคำดำนาห่าง โอเดพี่ชายเอย
ปู ปลา เต็มอยู่น้ำ ชวนอ้ายไปเที่ยวชม
ชาย โอเดพระนางเอย….พระนางเอ้ย อ้ายมีจุดประสงค์แน่น หาแฟนเมืองน้ำก่ำ เมืองดินดำนี้ละน้อง
ทางอ้ายอยากเกี่ยวดอง กะจั่งว่าแก้มอ่องต่อง ไสยองยองเอย
หญิง โอเดพี่ชายเอย….พี่ชายเอ้ย เขาส่าว่านกเขาตู้ บ้านอ้ายมันขันหอง เขาส่าว่านกเขาทองบ้านอ้าย
มันขันม่วน โอเดพี่ชายเอย บัดเทือมาฮอดแล้ว คู่ค้างซ่างบ่โตน คันบ่โตนเจ้าคอนใต้
โอซ่างบ่โตนเจ้าคอนต่ำ โอเดพี่ชายเอย
ชาย โอเดพระนางเอย….พระนางเอ้ย คันว่าสิบแหนงไม้ คันว่าซาวแหนงไม้ บ่คือแหนงดอกไม้ไผ่ โอเดพระนางเอย
อยากเป็นเขยบ้านน้องทางอ้ายจังต่าวมา
หญิง โอเดพี่ชายเอย…พี่ชายเอ้ย อ้ายอย่าตั๋วอีนางให้เซไซบ้าป่วง อย่ามาตั๋วให้น้อง นางน้อยล่ะ จ่อยโซ
ชาย โอเดพระนางเอย….พระนางเอ้ย อ้ายบ่ตั๋วพระนางน้อง คำนางดอกน้องพี่ ฮักอีหลีตั๋วละน้อง ทางอ้ายจั่งด่วนมา
หญิง โอเดพี่ชายเอย…พี่ชายเอ้ย คันบ่จริงอ้ายอย่าเว้า คันบ่เอาอ้ายอย่าว่า ทางปู่ย่าเพิ่นบ่พร้อม
ยอมเอาน้องขึ้นสู่เฮือน
ชาย โอเดพระนางเอย…พระนางเอ้ย คันว่าเฮือนซานอ้าย นอซานอ้ายดีหลายคันได้อุ่น
นับเป็นบุญพี่อ้ายคันน้องเข้าฮ่วมเฮือน
หญิง โอเดพี่ชายเอย…พี่ชายเอ้ย น้องนี้คิดฮอดอ้ายๆ คืนเดือนหงายสิแนมเบิ่งๆ โอเดพี่ชายเอย
ใจซิเถิงหม่อมอ้ายคืนนั้นให้พี่คอย
ชาย โอเดพระนางเอย…พระนางเอ้ย อ้ายสิขอรำเกี้ยวๆ คำนางให้มันม่วน อ้ายซิชวนหมู่เพื่อนลำเกี้ยวเข้าใส่กัน
วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ฟ้อนภูไท 3 เผ่า
คำว่า “ภูไท” ในภาษาภูไทและภาษาอีสาน หมายถึง กลุ่มชนผู้ที่อาศัยตามแนวภูเขา
แต่ภาคกลางมักเขียนว่า “ผู้ไทย” ซึ่งหมายถึง กลุ่มชนเชื้อชาติไทย
ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวภูไทอยู่ในแคว้นสิบสองจุไทย หรือแคว้นสิบสองปันนา (ดินแดนส่วนเหนือของลาว และ เวียดนาม ซึ่งติดต่อกับดินแดนภาคใต้ของจีน) ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 (เจ้าองค์หล่อ) แห่งราชอาณาจักรเวียงจันทน์ ได้มีหัวหน้าชาวภูไทซึ่งมีนามว่า พระศรีวรราช ได้มีความดีความชอบในการช่วยปราบกบฏในนครเวียงจันทน์จนสงบราบคาบ กษัตริย์เวียงจันทน์ จึงได้ปูนบำเหน็จ โดยพระราชทานพระราชธิดาชื่อนางช่อฟ้า ให้เป็นภรรยา ในกาลต่อมาจึงได้แต่งตั้งให้บุตรซึ่ง เกิดจากพระศรีวรราช หัวหน้าชาวภูไท และเจ้านางช่อฟ้ารวม 4 คน แยกย้ายกันไปปกครองหัวเมืองชาวภูไท คือ เมืองสบแอก เมืองเชียงค้อ พร้อมกับอพยพชาวภูไทลงไปทางใต้ของราชอาณาจักรเวียงจันทน์ เป็นเมืองวัง เมืองตะโปน(เซโปน) อันเป็นถิ่นกำเนิดของชาวภูไท (เรียบเรียงจากลายพระหัตถ์ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระเจ้าประดิษฐาสารี ในหนังสือชื่อพระราชธรรมเนียมลาว ซึ่งพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2479) พระองค์เป็นพระราชธิดาของรัชกาลที่ 4 และเจ้าจอมมารดาดวงคำ (เจ้าจอมมารดาดวงคำ เป็นราชนัดดาของเจ้าอนุวงษ์เวียงจันทน์)
ต่อมาชาวภูไทได้แยกย้ายออกไปตั้งเป็นเมืองพิน เมืองนอง เมืองพ้อง เมืองพลาน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในแขวงสะหวันนะเขต ของประเทศลาว
ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอนุวงษ์เวียงจันทน์เป็นกบฏต่อกรุงเทพมหานคร เมื่อ พ.ศ.2369 เมื่อกองทัพไทยยกขึ้นไปปราบปรามจนสงบราบคาบแล้วทางพระนคร มีนโยบายจะอพยพชาวภูไท ข่า กะโซ่ กะเลิง ไทดำ ไทพวนฯลฯ จากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้มาตั้งบ้านตั้งเมืองอยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง(ภาคอีสาน) เพื่อมิให้เป็นกำลังแก่เวียงจันทน์ และญวนอีก
ปัจจุบันชาวภูไทได้กระจัดกระจายอาศัยในจังหวัดต่างๆในภาคอีสานส่วนมากในจังหวัดมุกดาหาร กาฬสินธุ์ สกลนคร และนครพนม และบางส่วนในจังหวัด ร้อยเอ็ด อุดรธานี ยโสธร อำนาจเจริญ หนองคาย และอุบลราชธานี
การฟ้อนภูไท 3เผ่า เป็นการนำเอามรดกทางวัฒนธรรมของชาวภูไทที่อาศัยอยู่ในบริเวณเทือกเขาภูพานซึ่งได้ยกมา 3จังหวัดคือ กาฬสินธุ์ สกลนคร และนครพนม มาเปรียบเทียบในเชิงการจัดการแสดงทางด้านนาฏกรรม อันเนื่องมาจากชาวภูไททั้งสามกลุ่มนี้มีรูปแบบและ เอกลักษณ์ของตนเองที่แตกต่างกัน
ในปี พ.ศ. 2522 กรมศิลปากรมีนโยบายที่จะเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมอีสาน จึงได้จัดส่งคณาจารย์พร้อมนักเรียนจากวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด ลงพื้นที่ภาคสนามในจังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร และนครพนม(ต่อมามีพื้นที่แยกตัวเป็นจังหวัดออกจากนครพนมคือ มุกดาหาร) โดยรวบรวมเอาท่าฟ้อน กลอนลำ ดนตรีและการแต่งกาย จนเป็นผลงาน “ฟ้อนภูไท 3 เผ่า” ขึ้นมาครั้งแรก
ฟ้อนภูไท 3 เผ่า จะเริ่มจากการฟ้อนของชาวภูไทจังหวัดกาฬสินธุ์ ภูไทจังหวัดสกลนคร และภูไทจังหวัดนครพนม ในการฟ้อนภูไททั้ง 3 เผ่านี้ จะมีผู้ชายเข้ามาฟ้อนประกอบทั้งสามเผ่า มีการแสดงการฟ้อนมวยโบราณต่อสู้แสดงเชิงมวยกันระหว่างเผ่า และตลอดจนการฟ้อนเกี้ยวพาราสีของชายหญิงอีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นานวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์ ก็ได้ประดิษฐ์ ฟ้อนภูไท 3เผ่า ในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน คือ จะเริ่มการฟ้อนด้วยเผ่าสกลนครก่อน ตามมาด้วยภูไทจังหวัดกาฬสินธุ์ และภูไทจังหวัดนครพนม ซึ่งจะฟ้อนเฉพาะผู้หญิงล้วน
สำหรับ “ฟ้อนภูไท 3 เผ่า” ของ ชมรมนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมือง (วงแคน) จะใช้วิธีการนำเสนอคล้ายกับฟ้อนภูไท 3 เผ่า ของวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด เพียงแต่มีท่าฟ้อนที่แตกต่างกันเล็กน้อย
การแต่งกาย
เผ่ากาฬสินธุ์
- หญิง สวมเสื้อแขนกระบอกสีดำแนวปกคอเสื้อและแนวกระดุมตกแต่งด้วยผ้าแถบลายแพรวาสีแดง กุ๊นขอบลายผ้าด้วยผ้ากุ๊นสีเหลืองและขาว ประดับด้วยกระดุมเงิน ห่มผ้าสไบไหมแพรวาสีแดง นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่สีดำมีตีนซิ่น ผมเกล้ามวยมัดมวยผมด้วยฝ้ายภูไท หรือผ้าแพรฟอย และสวมเครื่องประดับเงิน
- ชาย สวมเสื้อสีดำมีการตกแต่งเสื้อด้วยแถบผ้าลายแพรวา นุ่งกางเกงขาก๊วย ใช้ผ้าแพรวาแดงมัดเอว
เผ่าสกลนคร
หญิง สวมเสื้อแขนกระบอกสีดำแต่งขอบเสื้อด้วยผ้าแดง มีแนวกระดุมเงินเรียงยาวตามแนวเสื้อ นุ่งผ้าซิ่นพื้นสีดำต่อตีนซิ่นขิดยาวกรอมเท้า ห่มผ้าสไบขิดทางไหล่ซ้ายแล้วไปมัดที่เอวด้านขวา สวมส่วยมือยาว(เล็บ)ทำมาจากกระดาษหรือโลหะพันด้วยด้ายและมีพู่ที่ปลายเล็บสีขาวหรือแดง ผมเกล้ามวยมัดมวยผมด้วยฝ้ายแดง และสวมเครื่องประดับเงิน
ชาย สวมเสื้อสีดำมีการตกแต่งเสื้อด้วยแถบผ้าแดง นุ่งกางเกงขาก๊วย ใช้ผ้าขิดแดงมัดเอว
เผ่านครพนม (อ.เรณูนคร)
หญิง สวมเสื้อแขนกระบอกสีครามแต่งของเสื้อด้วยผ้าแดง ที่กระดุมเงินมีสายคล้องเป็นคู่ๆ พันเอวด้วยผ้าแดง นุ่งซิ่นสีครามยาวกรอมเท้า ไหล่ซ้ายพาดสไบสีขาว ผมเกล้ามวยมัดมวยผมด้วยฝ้ายภูไทสีขาว และสวมเครื่องประดับเงิน
ชาย สวมเสื้อสีครามมีการตกแต่งเสื้อด้วยแถบผ้าแดง นุ่งกางเกงขาก๊วยสีคราม ใช้ผ้าแพรขาวม้ามัดเอว
กลอนลำ ภูไท 3เผ่า ของวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด
เผ่ากาฬสินธุ์ (บรรเลงลายภูไทใหญ่)
โอ่เด้......โอ...นา
โอ่เด้ อ้ายบ่าวภูไทเอย น้องนี่แหล่ว น้องนี่แนวนามเซอ ดอกสะเดอบานเข อ้ายบ่าวภูไทเอ้ย
โอ่เด้ อ้ายมิเหลียวตาต้อง มองดายกะแล้วเปล่า บานมิมีผู้เก็บ บานมิมีผู้ฮ้อย สิคาต้นหล่นเหลิง น้อยลับเลอตาเบอแม่เจ้าแพง นอ........
โอ่เด้ อ้ายบ่าวภูไทเอย น้องนี่แหล่ว น้องนี่มาคอยอ้ายคือนกเจ่าคอยหาปลา อ้ายบ่าวภูไทเอย น้องนี้แหล่ว น้องนี่มาคอยอ้ายคือนกทาคอยหาโค่
โอ๋เด๋ เพิ่นว่าโคกมิกว้าง คอยหาอ้ายกะมิเห็น เย็นทางเมอ ...นอ........
เผ่าสกลนคร (บรรเลงลายภูไทเลาะตูบ) ในท่อนนี้ไม่มีเนื้อร้อง ซึ่งจะบรรเลงลายเพียงอย่างเดียว
เผ่านครพนม (บรรเลงลายลมพัดพร้าว)
โอ หนอ บ่าวภูไทเอย... บัดนี้ หันมาเว้า ลายภูไทกันสาก่อน สิลำติดกาพย์สร้อย ผญาน้อยตื่มใส่กัน อ้ายเอย.........
ชายเอย เพิ่นว่าสิบปีล่ำ เพิ่นว่าซาวปีล่ำ จั่งเห็นโองมายามมั่ง เพิ่นว่าข้าวขึ้นเล้า จั่งเห็นเจ้าแม่นเทือเดียว อ้ายเอย.........
โอ หนอ บ่าวภูไทเอย... ชายเอย ไปบ่เมือนำน้อง แดนภูไทบ้านน้องอยู่ คันสิเมือนำน้อง ค่ารถมิให้เสียเด้ละอ้าย คันสิเมือนำน้อง ค่าเฮือมิให้จ้าง นางสิไปดอกเอาซ้างเมืองสุรินทร์มาให้ขี่ ไปบ่เล่าอ้าย ม่วนอีหลีตั้วเล่าอ้าย ไปเล่นถิ่นภูไท อ้ายเอย..............
โอ หนอ บ่าวภูไทเอย... ชายเอย ไผว่าเมืองภูไทฮ้าง อยากอันเชิญท่านไปเบิ่ง ฮ้างจั่งใด๋ ป่าไผ่ยังส่วยล่วย ป่ากล้วยยังส่ายหล่าย มันสิฮ้างบ่อนจั่งใด๋ อ้ายเอย อ้ายเอย.............
ฟังลำภูไท3เผ่า ของวิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด
---------------------------------------------------------
กลอนลำ ภูไท 3เผ่า ของวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์
เผ่าสกลนคร (บรรเลงลายภูไทเลาะตูบ)
ไปเย้อไป ไปโห่เอาชัยเอาซอง(ซ้ำ) ไปโฮมพี่โฮมน้อง ไปร่วมแซ่ฮ้องอวยชัย
เชิงเขาแสนจน หนทางก็ลำบาก(ซ้ำ) ตัวข้อยสู้ทนยาก มาฟ้อนรำให้ท่านชม
เผ่ากาฬสินธุ์ (บรรเลงลายภูไทน้อย)
โอ้ยนอ....ละบ่าวภูไทเอย
ชายเอ๋ย อ้ายได้ยินบ่เสียงน้อง คองน้ำตาเอิ้นมาใส่ สาวภูไทไห้สะอื้น มายืนเอิ้นใส่พี่ชาย อ้ายเอย อ้ายเอย............
ชายเอย เห็นว่าสาวภูไทน้อง อยู่บ้านป่านาดอน หากินหนูกินแลน หมู่กระแตดอกเห็นอ้ม
ซางมาตั๋วให้นางล้ม โคมหนามแล้วถิ่มปล่อย ทำสัญญากันเฮียบฮ้อย ซางมาฮ้างดอกห่างกัน อ้ายเอย........
เผ่านครพนม (บรรเลงลายลมพัดพร้าว)ในท่อนนี้ไม่มีเนื้อร้อง ซึ่งจะบรรเลงลายเพียงอย่างเดียว
กลอนลำ ภูไท 3เผ่า ของวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์
เผ่าสกลนคร (บรรเลงลายภูไทเลาะตูบ)
ไปเย้อไป ไปโห่เอาชัยเอาซอง(ซ้ำ) ไปโฮมพี่โฮมน้อง ไปร่วมแซ่ฮ้องอวยชัย
เชิงเขาแสนจน หนทางก็ลำบาก(ซ้ำ) ตัวข้อยสู้ทนยาก มาฟ้อนรำให้ท่านชม
เผ่ากาฬสินธุ์ (บรรเลงลายภูไทน้อย)
โอ้ยนอ....ละบ่าวภูไทเอย
ชายเอ๋ย อ้ายได้ยินบ่เสียงน้อง คองน้ำตาเอิ้นมาใส่ สาวภูไทไห้สะอื้น มายืนเอิ้นใส่พี่ชาย อ้ายเอย อ้ายเอย............
ชายเอย เห็นว่าสาวภูไทน้อง อยู่บ้านป่านาดอน หากินหนูกินแลน หมู่กระแตดอกเห็นอ้ม
ซางมาตั๋วให้นางล้ม โคมหนามแล้วถิ่มปล่อย ทำสัญญากันเฮียบฮ้อย ซางมาฮ้างดอกห่างกัน อ้ายเอย........
เผ่านครพนม (บรรเลงลายลมพัดพร้าว)ในท่อนนี้ไม่มีเนื้อร้อง ซึ่งจะบรรเลงลายเพียงอย่างเดียว
นาฏศิลป์พื้นบ้านอีสาน
ฟ้อนแหย่ไข่มดแดง
ในอดีตนั้น การประกอบอาหารและการเสาะหาแหล่งอาหารของชาวไทอีสานในความเป็นอยู่แบบพอเพียงไม่ได้ซื้อหาจากตลาดหรือร้านค้าดั่งเช่นในปัจจุบัน ชาวอีสานในอดีตจึงออกแสวงหาอาหารในแหล่งธรรมชาติใกล้ชุมชน เช่น ในท้องนา ป่าชุมชน ป่าทาม รวมไปถึงในแหล่งน้ำตามธรรมชาติ แม้ว่าปัจจุบันวิถีชีวิตบางอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็ตาม ด้วยกระแสบริโภคนิยม บางท้องที่หรือบางชุมชนก็ยังหาอยู่หากินอย่างพอเพียงตามวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมกันอยู่
“ไข่มดแดง” รวมถึงตัวอ่อนของมดแดง ก็ถือได้ว่าเป็นอาหารอีสานที่หารับประทานได้ในช่วงหน้าแล้งเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นอาหารตามฤดูกาลแม้ในปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยมในการบริโภคกันอยู่ ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และสามารถหาได้ง่ายๆในท้องถิ่น ซึ่งกรรมวิธีการหาไข่มดแดงจะต้องมีอุปกรณ์ คือ ไม้ไผ่ยาวผูกปลายด้วยตะกร้า และมีคุใส่น้ำเตรียมไว้ใส่ไข่มดแดงที่แหย่ได้ แล้วใช้เศษผ้ากวนเอาตัวมดแดงแยกออกจากไข่ เพื่อนำไปประกอบอาหารต่อไป
ภาควิชานาฏศิลป์ วิทยาลัยครูบุรีรัมย์ (มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์) ได้ศึกษารูปแบบการแหย่ไข่มดแดงของชาวบ้าน โดย อ.ประชัน คะเนวัน และ อ. ดรรชนี อุบลเลิศ ได้ศึกษาขั้นตอนอย่างละเอียด ก่อนจะนำมาประดิษฐ์เป็นชุดการแสดง “เซิ้งแหย่ไข่มดแดง” ซึ่งมีความสนุกสนานเร้าใจในแบบศิลปการแสดงแบบชาวอีสาน ซึ่งได้แสดงออกถึงการออกไปหาไข่มดแดง ซึ่งได้มาอย่างยากลำบาก ทั้งต้องถูกมดแดงกัดหรือไต่ตามเสื้อผ้า การกวนแยกตัวมดแดงออกจากไข่ ทำให้ชุดการแสดงนี้บอกเล่าวิธีการได้อย่างละเอียด
การแสดงฟ้อนแหย่ไข่มดแดง
- เดินทางออกจากบ้าน ฝ่ายหญิงจะถือคุใส่น้ำและเศษผ้าเหน็บไว้ที่เอว ชายถือไม้ยาวผูกตะกร้าที่ปลายไม้สำหรับแหย่รังมดแดง
- มองหารังมดแดง
- แหย่มดแดงได้เทลงในครุใส่น้ำ
- นำผ้ากวนมดแดง เพื่อแยกตัวมดออกจากไข่มดแดง
- เทน้ำออกจากครุ
- เก็บอุปกรณ์เดินทางกลับบ้าน
เครื่องแต่งกาย ฝ่ายชายนุ่งกางเกงขาก๊วย เสื้อคอกลมแขนสั้น มีผ้าขาวม้าคาดเอว และใช้ผ้าขาวม้าโพกศีรษะ ฝ่ายหญิงสวมเสื้อแขนกระบอก 3 ส่วนคอกลม ห่มสไบ นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่สั้นแค่เข่า
ดนตรี ลายสุดสะแนน ลายเซิ้งบั้งไฟ
อุปกรณ์สำหรับการแสดง คุใส่น้ำ ตะกร้าผูกปลายไม้ยาว ผ้าสำหรับกวนมดแดง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)