tag:blogger.com,1999:blog-74753233350590862462024-03-13T05:21:37.390-07:00นาฏศิลป์พื้นบ้านอีสานวสันต์ สมสัยhttp://www.blogger.com/profile/03623866005177892301noreply@blogger.comBlogger4125tag:blogger.com,1999:blog-7475323335059086246.post-71270388890790591062012-08-27T20:02:00.004-07:002012-08-27T20:02:35.828-07:00นาฎศิลป์พื้นบ้านอีสาน<iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/-_5jpTDboSM" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>วสันต์ สมสัยhttp://www.blogger.com/profile/03623866005177892301noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7475323335059086246.post-25462911769524643912012-08-27T19:51:00.002-07:002012-08-27T19:51:23.473-07:00<div align="center">
<img alt="ฟ้อนเต้ยหัวโนนตาล" height="527" src="http://www.isan.clubs.chula.ac.th/folkdance/images/kalsin04.jpg" width="383" /> </div>
<br />
<div class="nblue">
<strong>ฟ้อนเต้ยหัวโนนตาล</strong>
เป็นการแสดงฟ้อนรำประกอบทำนองลำเต้ยหัวโนนตาล
มีลักษณะเป็นการฟ้อนเกี้ยวพาราสีกัน
ระหว่างชายหญิงทางภาคอีสาน โดยได้แรงบันดาลใจจากวงหมอลำพื้นบ้านจาก
อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งตัวหมอลำหนุ่มสาวหรือตัวพระเอก-นางเอก
จะมีการการลำและฟ้อนเกี้ยวพาราสี มีการพูดผญา ลำภูไท
หรือก็ร้องเพลงเป็นเต้ยเกี้ยวกัน เป็นต้น<br />
<br />
<strong>ดนตร</strong>ีที่ใช้ในชุดการแสดง ฟ้อนเต้ยหัวโนนตาล
จะใช้ทำนองเต้ยหัวโนนตาลดั้งเดิม ส่วนท่าฟ้อนและเนื้อร้อง อ.พรสวรรค์
พรดอนก่อ อาจารย์สอนนาฏศิลป์พื้นเมือง จาก<strong>วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์</strong>
เป็นผู้แต่งเนื้อร้องและประดิษฐ์ท่าฟ้อนขึ้นใหม่
โดยอาศัยเค้าโครงการฟ้อนของหมอลำหมู่หรือหมอลำเรื่องต่อกลอน
ส่วนเพลงเร็วท่อนสุดท้าย ได้นำเอาท่าฟ้อนของหมอลำเข้ามาผสมด้วย
โดยได้ปรึกษา อ.ช่วง ดาเหลา และ อ.ทองเจริญ ดาเหลา หมอลำกลอนคู่ <br />
<br />
ลักษณะท่าฟ้อนจึงมีทั้งความอ่อนช้อยและรวดเร็วสนุกสนานอยู่ในชุดเดียวกัน
แสดงให้เห็นถึงศิลปะการฟ้อนรำและการร้องลำที่สวยงาม
ของกลุ่มชนชาวอีสานแถบนี้ <br />
<br />
<img alt="ฟ้อนเต้่ยหัวโนนตาล" height="69" src="http://www.isan.clubs.chula.ac.th/folkdance/images/kalsin04_1.jpg" width="104" /><br />
<strong>การแต่งกาย</strong><br />
- ชาย สวมเสื้อแพรแขนสั้นสีเขียว นุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าสไบขิดมัดเอว สวมสร้อยคอและกำไลเงิน<br />
- หญิง สวมเสื้อแขนกระบอกสีแดง ห่มสไบขิด นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ยาวคลุมเข่า ผมเกล้ามวยประดับดอกไม้ สวมเครื่องประดับเงิน<br />
<br />
<span class="ngreen"><strong>เพลงเต้ยหัวโนนตาล</strong><br />
ชาย โอเดพระนางเอย…พระนางเอ้ย น้องนี้เนาอยู่ทางแคว้นๆ แดนใด๋ละน้องพี่ ปูปลามีบ่ละน้อง <br />
ทางบ้านหม่อมพระนาง<br />
<br />
หญิง โอเดพี่ชายเอย… พี่ชายเอ้ย น้องนี้เนาอยู่ทางก้ำๆ กะสินคำดำนาห่าง โอเดพี่ชายเอย <br />
ปู ปลา เต็มอยู่น้ำ ชวนอ้ายไปเที่ยวชม<br />
<br />
ชาย โอเดพระนางเอย….พระนางเอ้ย อ้ายมีจุดประสงค์แน่น หาแฟนเมืองน้ำก่ำ เมืองดินดำนี้ละน้อง <br />
ทางอ้ายอยากเกี่ยวดอง กะจั่งว่าแก้มอ่องต่อง ไสยองยองเอย<br />
<br />
หญิง โอเดพี่ชายเอย….พี่ชายเอ้ย เขาส่าว่านกเขาตู้ บ้านอ้ายมันขันหอง เขาส่าว่านกเขาทองบ้านอ้าย <br />
มันขันม่วน โอเดพี่ชายเอย บัดเทือมาฮอดแล้ว คู่ค้างซ่างบ่โตน คันบ่โตนเจ้าคอนใต้ <br />
โอซ่างบ่โตนเจ้าคอนต่ำ โอเดพี่ชายเอย<br />
<br />
ชาย โอเดพระนางเอย….พระนางเอ้ย คันว่าสิบแหนงไม้ คันว่าซาวแหนงไม้ บ่คือแหนงดอกไม้ไผ่ โอเดพระนางเอย <br />
อยากเป็นเขยบ้านน้องทางอ้ายจังต่าวมา<br />
<br />
หญิง โอเดพี่ชายเอย…พี่ชายเอ้ย อ้ายอย่าตั๋วอีนางให้เซไซบ้าป่วง อย่ามาตั๋วให้น้อง นางน้อยล่ะ จ่อยโซ<br />
<br />
ชาย โอเดพระนางเอย….พระนางเอ้ย อ้ายบ่ตั๋วพระนางน้อง คำนางดอกน้องพี่ ฮักอีหลีตั๋วละน้อง ทางอ้ายจั่งด่วนมา<br />
<br />
หญิง โอเดพี่ชายเอย…พี่ชายเอ้ย คันบ่จริงอ้ายอย่าเว้า คันบ่เอาอ้ายอย่าว่า ทางปู่ย่าเพิ่นบ่พร้อม<br />
ยอมเอาน้องขึ้นสู่เฮือน<br />
<br />
ชาย โอเดพระนางเอย…พระนางเอ้ย คันว่าเฮือนซานอ้าย นอซานอ้ายดีหลายคันได้อุ่น <br />
นับเป็นบุญพี่อ้ายคันน้องเข้าฮ่วมเฮือน<br />
<br />
หญิง โอเดพี่ชายเอย…พี่ชายเอ้ย น้องนี้คิดฮอดอ้ายๆ คืนเดือนหงายสิแนมเบิ่งๆ โอเดพี่ชายเอย <br />
ใจซิเถิงหม่อมอ้ายคืนนั้นให้พี่คอย<br />
<br />
ชาย โอเดพระนางเอย…พระนางเอ้ย อ้ายสิขอรำเกี้ยวๆ คำนางให้มันม่วน อ้ายซิชวนหมู่เพื่อนลำเกี้ยวเข้าใส่กัน</span>
<br />
<br />
</div>
วสันต์ สมสัยhttp://www.blogger.com/profile/03623866005177892301noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7475323335059086246.post-59359517992316857552012-08-13T20:04:00.002-07:002012-08-13T20:04:35.658-07:00<br />
<strong>ฟ้อนภูไท 3 เผ่า</strong><br />
<br /><br /><img alt="ฟ้อนภูไท3เผ่า-การแต่งกาย" height="678" src="http://www.isan.clubs.chula.ac.th/folkdance/images/roied13_1.jpg" width="541" /><br />
คำว่า <strong>“ภูไท”</strong> ในภาษาภูไทและภาษาอีสาน หมายถึง
กลุ่มชนผู้ที่อาศัยตามแนวภูเขา <br />
แต่ภาคกลางมักเขียนว่า “ผู้ไทย” ซึ่งหมายถึง
กลุ่มชนเชื้อชาติไทย<br />
<br />
ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวภูไทอยู่ในแคว้นสิบสองจุไทย
หรือแคว้นสิบสองปันนา (ดินแดนส่วนเหนือของลาว และ เวียดนาม
ซึ่งติดต่อกับดินแดนภาคใต้ของจีน) ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 (เจ้าองค์หล่อ)
แห่งราชอาณาจักรเวียงจันทน์ ได้มีหัวหน้าชาวภูไทซึ่งมีนามว่า พระศรีวรราช
ได้มีความดีความชอบในการช่วยปราบกบฏในนครเวียงจันทน์จนสงบราบคาบ
กษัตริย์เวียงจันทน์ จึงได้ปูนบำเหน็จ โดยพระราชทานพระราชธิดาชื่อนางช่อฟ้า
ให้เป็นภรรยา ในกาลต่อมาจึงได้แต่งตั้งให้บุตรซึ่ง เกิดจากพระศรีวรราช
หัวหน้าชาวภูไท และเจ้านางช่อฟ้ารวม 4 คน แยกย้ายกันไปปกครองหัวเมืองชาวภูไท คือ
เมืองสบแอก เมืองเชียงค้อ พร้อมกับอพยพชาวภูไทลงไปทางใต้ของราชอาณาจักรเวียงจันทน์
เป็นเมืองวัง เมืองตะโปน(เซโปน) อันเป็นถิ่นกำเนิดของชาวภูไท
(เรียบเรียงจากลายพระหัตถ์ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระเจ้าประดิษฐาสารี
ในหนังสือชื่อพระราชธรรมเนียมลาว ซึ่งพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2479)
พระองค์เป็นพระราชธิดาของรัชกาลที่ 4 และเจ้าจอมมารดาดวงคำ (เจ้าจอมมารดาดวงคำ
เป็นราชนัดดาของเจ้าอนุวงษ์เวียงจันทน์)
<br />
<br />
ต่อมาชาวภูไทได้แยกย้ายออกไปตั้งเป็นเมืองพิน เมืองนอง เมืองพ้อง เมืองพลาน
ซึ่งปัจจุบันอยู่ในแขวงสะหวันนะเขต ของประเทศลาว <br />
<br />
ในสมัยรัชกาลที่ 3
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอนุวงษ์เวียงจันทน์เป็นกบฏต่อกรุงเทพมหานคร เมื่อ
พ.ศ.2369 เมื่อกองทัพไทยยกขึ้นไปปราบปรามจนสงบราบคาบแล้วทางพระนคร
มีนโยบายจะอพยพชาวภูไท ข่า กะโซ่ กะเลิง ไทดำ ไทพวนฯลฯ
จากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้มาตั้งบ้านตั้งเมืองอยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง(ภาคอีสาน)
เพื่อมิให้เป็นกำลังแก่เวียงจันทน์ และญวนอีก
<br />
<br />
ปัจจุบันชาวภูไทได้กระจัดกระจายอาศัยในจังหวัดต่างๆในภาคอีสานส่วนมากในจังหวัดมุกดาหาร
กาฬสินธุ์ สกลนคร และนครพนม และบางส่วนในจังหวัด ร้อยเอ็ด อุดรธานี ยโสธร
อำนาจเจริญ หนองคาย และอุบลราชธานี<br />
<br />
<strong>การฟ้อนภูไท 3เผ่า</strong>
เป็นการนำเอามรดกทางวัฒนธรรมของชาวภูไทที่อาศัยอยู่ในบริเวณเทือกเขาภูพานซึ่งได้ยกมา
3จังหวัดคือ กาฬสินธุ์ สกลนคร และนครพนม
มาเปรียบเทียบในเชิงการจัดการแสดงทางด้านนาฏกรรม
อันเนื่องมาจากชาวภูไททั้งสามกลุ่มนี้มีรูปแบบและ
เอกลักษณ์ของตนเองที่แตกต่างกัน<br />
<br />
ในปี พ.ศ. 2522
กรมศิลปากรมีนโยบายที่จะเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมอีสาน
จึงได้จัดส่งคณาจารย์พร้อมนักเรียนจาก<strong>วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด</strong>
ลงพื้นที่ภาคสนามในจังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร
และนครพนม(ต่อมามีพื้นที่แยกตัวเป็นจังหวัดออกจากนครพนมคือ มุกดาหาร)
โดยรวบรวมเอาท่าฟ้อน กลอนลำ ดนตรีและการแต่งกาย จนเป็นผลงาน “<strong>ฟ้อนภูไท 3
เผ่า</strong>” ขึ้นมาครั้งแรก<br />
<br />
<strong>ฟ้อนภูไท 3 เผ่า</strong>
จะเริ่มจากการฟ้อนของชาวภูไทจังหวัดกาฬสินธุ์ ภูไทจังหวัดสกลนคร
และภูไทจังหวัดนครพนม ในการฟ้อนภูไททั้ง 3 เผ่านี้
จะมีผู้ชายเข้ามาฟ้อนประกอบทั้งสามเผ่า
มีการแสดงการฟ้อนมวยโบราณต่อสู้แสดงเชิงมวยกันระหว่างเผ่า
และตลอดจนการฟ้อนเกี้ยวพาราสีของชายหญิงอีกด้วย<br />
<br />
หลังจากนั้นไม่นาน<strong>วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์</strong>
ก็ได้ประดิษฐ์ ฟ้อนภูไท 3เผ่า ในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน คือ
จะเริ่มการฟ้อนด้วยเผ่าสกลนครก่อน
ตามมาด้วยภูไทจังหวัดกาฬสินธุ์ และภูไทจังหวัดนครพนม
ซึ่งจะฟ้อนเฉพาะผู้หญิงล้วน<br />
<br />
สำหรับ “ฟ้อนภูไท 3 เผ่า” ของ
<strong>ชมรมนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมือง (วงแคน)</strong>
จะใช้วิธีการนำเสนอคล้ายกับฟ้อนภูไท 3 เผ่า ของวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด
เพียงแต่มีท่าฟ้อนที่แตกต่างกันเล็กน้อย<br />
<strong>การแต่งกาย<br /><br />เผ่ากาฬสินธุ์ </strong><br />
<br />
-
หญิง สวมเสื้อแขนกระบอกสีดำแนวปกคอเสื้อและแนวกระดุมตกแต่งด้วยผ้าแถบลายแพรวาสีแดง
กุ๊นขอบลายผ้าด้วยผ้ากุ๊นสีเหลืองและขาว ประดับด้วยกระดุมเงิน
ห่มผ้าสไบไหมแพรวาสีแดง นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่สีดำมีตีนซิ่น
ผมเกล้ามวยมัดมวยผมด้วยฝ้ายภูไท หรือผ้าแพรฟอย และสวมเครื่องประดับเงิน<br />
- ชาย
สวมเสื้อสีดำมีการตกแต่งเสื้อด้วยแถบผ้าลายแพรวา นุ่งกางเกงขาก๊วย
ใช้ผ้าแพรวาแดงมัดเอว<br />
<br />
<strong>เผ่าสกลนคร</strong><br />
<br />
หญิง
สวมเสื้อแขนกระบอกสีดำแต่งขอบเสื้อด้วยผ้าแดง
มีแนวกระดุมเงินเรียงยาวตามแนวเสื้อ นุ่งผ้าซิ่นพื้นสีดำต่อตีนซิ่นขิดยาวกรอมเท้า
ห่มผ้าสไบขิดทางไหล่ซ้ายแล้วไปมัดที่เอวด้านขวา
สวมส่วยมือยาว(เล็บ)ทำมาจากกระดาษหรือโลหะพันด้วยด้ายและมีพู่ที่ปลายเล็บสีขาวหรือแดง
ผมเกล้ามวยมัดมวยผมด้วยฝ้ายแดง และสวมเครื่องประดับเงิน<br />
ชาย
สวมเสื้อสีดำมีการตกแต่งเสื้อด้วยแถบผ้าแดง นุ่งกางเกงขาก๊วย
ใช้ผ้าขิดแดงมัดเอว<br />
<br />
<strong>เผ่านครพนม (อ.เรณูนคร)</strong><br />
<br />
หญิง
สวมเสื้อแขนกระบอกสีครามแต่งของเสื้อด้วยผ้าแดง ที่กระดุมเงินมีสายคล้องเป็นคู่ๆ
พันเอวด้วยผ้าแดง นุ่งซิ่นสีครามยาวกรอมเท้า ไหล่ซ้ายพาดสไบสีขาว
ผมเกล้ามวยมัดมวยผมด้วยฝ้ายภูไทสีขาว และสวมเครื่องประดับเงิน<br />
ชาย
สวมเสื้อสีครามมีการตกแต่งเสื้อด้วยแถบผ้าแดง นุ่งกางเกงขาก๊วยสีคราม
ใช้ผ้าแพรขาวม้ามัดเอว<br />
<br />
<br />
<span class="ngreen"><strong>กลอนลำ ภูไท 3เผ่า
ของวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด</strong><br /><br /><strong>เผ่ากาฬสินธุ์
</strong>(บรรเลงลายภูไทใหญ่)<br /><br />โอ่เด้......โอ...นา<br /><br />โอ่เด้
อ้ายบ่าวภูไทเอย น้องนี่แหล่ว น้องนี่แนวนามเซอ ดอกสะเดอบานเข
อ้ายบ่าวภูไทเอ้ย<br /><br />โอ่เด้ อ้ายมิเหลียวตาต้อง มองดายกะแล้วเปล่า
บานมิมีผู้เก็บ บานมิมีผู้ฮ้อย สิคาต้นหล่นเหลิง
น้อยลับเลอตาเบอแม่เจ้าแพง นอ........<br /><br />โอ่เด้ อ้ายบ่าวภูไทเอย น้องนี่แหล่ว
น้องนี่มาคอยอ้ายคือนกเจ่าคอยหาปลา อ้ายบ่าวภูไทเอย น้องนี้แหล่ว
น้องนี่มาคอยอ้ายคือนกทาคอยหาโค่<br /><br />โอ๋เด๋ เพิ่นว่าโคกมิกว้าง
คอยหาอ้ายกะมิเห็น เย็นทางเมอ ...นอ........<br /><br /><strong>เผ่าสกลนคร
</strong>(บรรเลงลายภูไทเลาะตูบ) ในท่อนนี้ไม่มีเนื้อร้อง
ซึ่งจะบรรเลงลายเพียงอย่างเดียว<br /><br /><strong>เผ่านครพนม</strong>
(บรรเลงลายลมพัดพร้าว)<br /><br />โอ หนอ บ่าวภูไทเอย... บัดนี้ หันมาเว้า
ลายภูไทกันสาก่อน สิลำติดกาพย์สร้อย ผญาน้อยตื่มใส่กัน
อ้ายเอย.........<br /><br />ชายเอย เพิ่นว่าสิบปีล่ำ เพิ่นว่าซาวปีล่ำ
จั่งเห็นโองมายามมั่ง เพิ่นว่าข้าวขึ้นเล้า จั่งเห็นเจ้าแม่นเทือเดียว
อ้ายเอย.........<br /><br />โอ หนอ บ่าวภูไทเอย... ชายเอย ไปบ่เมือนำน้อง
แดนภูไทบ้านน้องอยู่ คันสิเมือนำน้อง ค่ารถมิให้เสียเด้ละอ้าย คันสิเมือนำน้อง
ค่าเฮือมิให้จ้าง นางสิไปดอกเอาซ้างเมืองสุรินทร์มาให้ขี่ ไปบ่เล่าอ้าย
ม่วนอีหลีตั้วเล่าอ้าย ไปเล่นถิ่นภูไท อ้ายเอย..............<br /><br />โอ หนอ
บ่าวภูไทเอย... ชายเอย ไผว่าเมืองภูไทฮ้าง อยากอันเชิญท่านไปเบิ่ง ฮ้างจั่งใด๋
ป่าไผ่ยังส่วยล่วย ป่ากล้วยยังส่ายหล่าย มันสิฮ้างบ่อนจั่งใด๋ อ้ายเอย
อ้ายเอย............. </span><br />
<br />
<br />
<a href="http://www.isan.clubs.chula.ac.th/entertain/?transaction=song.php&song_cat=9&song_no=3" target="_blank">ฟังลำภูไท3เผ่า ของวิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด</a>
<br />
<div class="nblue">
---------------------------------------------------------<br />
<br />
<strong>กลอนลำ
ภูไท 3เผ่า ของวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์</strong><br />
<br />
<strong>เผ่าสกลนคร
</strong>(บรรเลงลายภูไทเลาะตูบ)<br />
<br />
ไปเย้อไป ไปโห่เอาชัยเอาซอง(ซ้ำ)
ไปโฮมพี่โฮมน้อง ไปร่วมแซ่ฮ้องอวยชัย<br />
<br />
เชิงเขาแสนจน หนทางก็ลำบาก(ซ้ำ)
ตัวข้อยสู้ทนยาก มาฟ้อนรำให้ท่านชม<br />
<br />
<strong>เผ่ากาฬสินธุ์</strong>
(บรรเลงลายภูไทน้อย)<br />
<br />
โอ้ยนอ....ละบ่าวภูไทเอย <br />
<br />
ชายเอ๋ย อ้ายได้ยินบ่เสียงน้อง คองน้ำตาเอิ้นมาใส่ สาวภูไทไห้สะอื้น
มายืนเอิ้นใส่พี่ชาย อ้ายเอย อ้ายเอย............<br />
<br />
ชายเอย เห็นว่าสาวภูไทน้อง
อยู่บ้านป่านาดอน หากินหนูกินแลน หมู่กระแตดอกเห็นอ้ม <br />
<br />
ซางมาตั๋วให้นางล้ม
โคมหนามแล้วถิ่มปล่อย ทำสัญญากันเฮียบฮ้อย ซางมาฮ้างดอกห่างกัน
อ้ายเอย........<br />
<br />
<strong>เผ่านครพนม</strong>
(บรรเลงลายลมพัดพร้าว)ในท่อนนี้ไม่มีเนื้อร้อง
ซึ่งจะบรรเลงลายเพียงอย่างเดียว<br />
<br /></div>
วสันต์ สมสัยhttp://www.blogger.com/profile/03623866005177892301noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7475323335059086246.post-52255434190681961162012-08-13T19:55:00.001-07:002012-08-13T19:55:39.027-07:00<h2 class="post-title">
นาฏศิลป์พื้นบ้านอีสาน</h2>
<div class="post-content">
<br />
<strong>ฟ้อนแหย่ไข่มดแดง</strong><br />
<br />
<img alt="ฟ้อนแหย่ไข่มดแดง" height="569" src="http://www.isan.clubs.chula.ac.th/folkdance/images/kalsin08.jpg" width="414" /><br />
ในอดีตนั้น
การประกอบอาหารและการเสาะหาแหล่งอาหารของชาวไทอีสานในความเป็นอยู่แบบพอเพียงไม่ได้ซื้อหาจากตลาดหรือร้านค้าดั่งเช่นในปัจจุบัน
ชาวอีสานในอดีตจึงออกแสวงหาอาหารในแหล่งธรรมชาติใกล้ชุมชน เช่น ในท้องนา ป่าชุมชน
ป่าทาม รวมไปถึงในแหล่งน้ำตามธรรมชาติ
แม้ว่าปัจจุบันวิถีชีวิตบางอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็ตาม ด้วยกระแสบริโภคนิยม
บางท้องที่หรือบางชุมชนก็ยังหาอยู่หากินอย่างพอเพียงตามวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมกันอยู่
<br /><br /><strong>“ไข่มดแดง”</strong> รวมถึงตัวอ่อนของมดแดง
ก็ถือได้ว่าเป็นอาหารอีสานที่หารับประทานได้ในช่วงหน้าแล้งเท่านั้น
ถือได้ว่าเป็นอาหารตามฤดูกาลแม้ในปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยมในการบริโภคกันอยู่
ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และสามารถหาได้ง่ายๆในท้องถิ่น
ซึ่งกรรมวิธีการหาไข่มดแดงจะต้องมีอุปกรณ์ คือ ไม้ไผ่ยาวผูกปลายด้วยตะกร้า
และมีคุใส่น้ำเตรียมไว้ใส่ไข่มดแดงที่แหย่ได้
แล้วใช้เศษผ้ากวนเอาตัวมดแดงแยกออกจากไข่
เพื่อนำไปประกอบอาหารต่อไป<br /><br /><strong>ภาควิชานาฏศิลป์
วิทยาลัยครูบุรีรัมย</strong>์ (มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์)
ได้ศึกษารูปแบบการแหย่ไข่มดแดงของชาวบ้าน โดย อ.ประชัน คะเนวัน และ อ. ดรรชนี
อุบลเลิศ ได้ศึกษาขั้นตอนอย่างละเอียด ก่อนจะนำมาประดิษฐ์เป็นชุดการแสดง
<strong>“เซิ้งแหย่ไข่มดแดง”</strong>
ซึ่งมีความสนุกสนานเร้าใจในแบบศิลปการแสดงแบบชาวอีสาน
ซึ่งได้แสดงออกถึงการออกไปหาไข่มดแดง ซึ่งได้มาอย่างยากลำบาก
ทั้งต้องถูกมดแดงกัดหรือไต่ตามเสื้อผ้า การกวนแยกตัวมดแดงออกจากไข่
ทำให้ชุดการแสดงนี้บอกเล่าวิธีการได้อย่างละเอียด
<br /><br /><strong>การแสดงฟ้อนแหย่ไข่มดแดง</strong><br />- เดินทางออกจากบ้าน
ฝ่ายหญิงจะถือคุใส่น้ำและเศษผ้าเหน็บไว้ที่เอว
ชายถือไม้ยาวผูกตะกร้าที่ปลายไม้สำหรับแหย่รังมดแดง <br />- มองหารังมดแดง <br />-
แหย่มดแดงได้เทลงในครุใส่น้ำ <br />- นำผ้ากวนมดแดง เพื่อแยกตัวมดออกจากไข่มดแดง
<br />- เทน้ำออกจากครุ <br />- เก็บอุปกรณ์เดินทางกลับบ้าน<br /><strong></strong><br />
<strong>เครื่องแต่งกาย</strong> ฝ่ายชายนุ่งกางเกงขาก๊วย เสื้อคอกลมแขนสั้น
มีผ้าขาวม้าคาดเอว และใช้ผ้าขาวม้าโพกศีรษะ ฝ่ายหญิงสวมเสื้อแขนกระบอก 3 ส่วนคอกลม
ห่มสไบ นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่สั้นแค่เข่า<br /><br /><strong>ดนตรี</strong> ลายสุดสะแนน
ลายเซิ้งบั้งไฟ<br /><br /><strong>อุปกรณ์สำหรับการแสดง</strong> คุใส่น้ำ
ตะกร้าผูกปลายไม้ยาว ผ้าสำหรับกวนมดแดง<br /><br /><img alt="ฟ้อนแหย่ไข่มดแดง" height="569" src="http://www.isan.clubs.chula.ac.th/folkdance/images/kalsin08.jpg" width="414" /><img alt="ฟ้อนแหย่ไข่มดแดง" height="375" src="http://www.isan.clubs.chula.ac.th/folkdance/images/kaimoddaeng.jpg" width="500" /></div>
วสันต์ สมสัยhttp://www.blogger.com/profile/03623866005177892301noreply@blogger.com0